อ.นพ.ธนวัชร  จีระตระกูล
สาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

โรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่มีอาการปวดท้องสัมพันธ์กับการขับถ่ายอุจจาระ เช่น มีอาการปวดท้องสัมพันธ์กับเวลาก่อนถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ มีอาการปวดท้องสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของลักษณะอุจจาระ เช่น ถ่ายแข็ง หรือ เหลวมากขึ้น หรือ มีอาการปวดท้องสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของการถ่ายอุจจาระ เช่น ปกติเคยถ่ายวันละ 1 ครั้ง เปลี่ยนแปลงเป็น 2-3 วันถ่าย 1 ครั้ง โรคนี้เป็นโรคเรื้อรั้ง มีอาการเปลี่ยนแปลงเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งแม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

สาเหตุของลำไส้แปรปรวน

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวนชัดเจน กลไกในการเกิดโรคหลัก เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และ ความไวในการรับความรู้สึกในทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เชื่อว่าเกิดผ่านการรับประทานอาหาร การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร การติดเชื้อในทางเดินอาหารในอดีต รวมถึงความเครียดและความวิตกกังวล

คำแนะนำในการรับประทานอาหารในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการในผู้ป่วยลำไส้แปรปรวน ด้วยกลไกทางพยาธิวิทยาที่แตกต่างกัน เช่นทำให้เกิดแก๊ส กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หรือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร เป็นต้น การปรับการรับประทานอาหาร จึงเป็นหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยลำไส้แปรปรวน โดยมีคำแนะนำดังนี้

1. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง

เส้นใยอาหาร (fiber) มีผลเพิ่มมวลอุจจาระ ทำให้อุจจาระนุ่มลง กระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น จึงแนะนำให้รับประทานเส้นใยอาหารอย่างน้อย 25 กรัมต่อวัน คิดเป็นผักหรือผลไม้ 400 กรัมต่อวัน 

เส้นใยอาหารจะสามารถทำให้อุจจาระนุ่มลงได้เมื่อสามารถดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ได้ ดังนั้นนอกจากรับประทานอาหารที่มีเส้นใยแล้ว จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5 ลิตรต่อวัน

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มี FODMAP สูง

Fermentable Oligo- Di- Monosaccharides And Polyols (FODMAP) คือกลุ่มอาหารที่มีองค์ประกอบเป็นคาร์โบไฮเดรต น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่รวมหลากชนิด เมื่อเข้าสู่ลำไส้จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียทำให้เกิดแก๊ส และเกิดสารที่สามารถดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด และท้องเสีย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี้ยงในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน

ตัวอย่างอาหารที่มี FODMAP สูง ได้แก่

กลุ่มอาหาร

ตัวอย่าง

อาหารที่มีน้ำตาล Fructose สูง

แอปเปิล มะม่วง แตงโม น้ำผึ้ง ไซรัปจากข้าวโพด

อาหารที่มีน้ำตาล Lactose สูง

นมและผลิตภัณฑ์จากนม

อาหารที่มี Fructans หรือ Inulin สูง

ข้าวสาลี หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี

อาหารที่มี Galactans สูง

ถั่วชนิดต่าง ๆ

อาหารกลุ่ม Polyols

สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น Sorbitol, Xylitol และผลไม้ เช่น พีช พลัม ลูกพลุน อะโวคาโด เชอร์รี

สามารถอ่านคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารที่มี FODMAP สูงได้ใน QR code ดังแนบ

3. สังเกตอาหารจำเพาะที่ทำให้เกิดอาการ และหลีกเลี่ยง

ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาหารบางจำพวกที่ทำให้เกิดอาการจำเพาะของตนเอง อาจสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น เช่น อาหารที่มีไขมันสูงอาจทำให้มีอาการท้องอืดแน่นท้อง อาหารเผ็ดอาจทำให้ท้องเสียหรือแสบท้อง ชาอาจทำให้ท้องผูก และกาแฟอาจทำให้ท้องเสียในผู้ป่วยบางราย เป็นต้น

ข้อควรระวังในการปรับการรับประทานอาหารคือ ไม่ควรกลัวหรือกังวลในการรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเกินไป จนทำให้เครียดหรือเกิดอาการทางระบบอาหารมากขึ้น และอาจนำไปสู่โรคกลัวการรับประทานอาหาร (Avoidant Restrictive Food Intake Disorder; ARFID) หากไม่แน่ใจในการปรับการรับประทานอาหารควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมเพิ่มเติม

การปรับการรับประทานอาหารเป็นเพียงหนึ่งในวิธีรักษาโรคลำไส้แปรปรวนเท่านั้น หากปรับการรับประทานอาหารแล้วยังตอบสนองไม่ดี โดยปกติแพทย์จะให้คำแนะนำและให้การรักษาอื่นๆ ไปในเวลาเดียวกัน เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มสุรา งดสูบบุหรี่ รับประทานยาต้านการบีบเกร็งกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร ยาปรับการทำงานของระบบประสาท หรือยาระบาย เป็นต้น