GAT KNOWLEDGE
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี: ทำไมคนที่เกิดก่อนปี 2535 จึงควรฉีด?

รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์
วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ และคณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus หรือ HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยและทั่วโลกมากกว่าล้านรายต่อปี เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบรุนแรงเหล่านี้ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (HBV vaccine) จึงถือเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญและได้ผลดีที่สุด
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็น “ภัยเงียบ”
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จัดว่าเป็น “ภัยเงียบ” เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใดๆในระยะแรก ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นพาหะ ซึ่งอาจใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเป็นสิบๆปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อไวรัสจะค่อยๆทำลายเซลล์ตับอย่างช้าๆและต่อเนื่อง กว่าจะเริ่มมีอาการ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย หรือปวดท้อง อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณว่าโรคได้ลุกลามไปสู่ภาวะร้ายแรงแล้ว เช่น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ซึ่งการรักษามักจะยุ่งยากและมีโอกาสหายต่ำ ทำให้การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ และการฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปจนถึงจุดนี้
ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ลดการเกิดโรคตับ: ป้องกันการเกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งหากรักษาหรือวินิจฉัยในระยะท้ายมักมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ
- เป็นวัคซีนประสิทธิภาพสูง: หลังฉีดครบ 3 เข็มแล้ว ร้อยละ 95-97 จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ anti-HBs ที่ป้องกันการติดเชื้อได้ยาวนานหลายปีจนถึงตลอดชีวิต
- ความปลอดภัยสูง: กว่า 30 ปีที่ใช้ทั่วโลก พบผลข้างเคียงรุนแรงน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว เช่น ปวดแดงบริเวณที่ฉีด ไข้ต่ำๆ
ทำไมคนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 ต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- เนื่องจากประเทศไทยเริ่มการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีให้เด็กแรกเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ดังนั้นผู้ที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 นั้นจึงมีโอกาสที่จะไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ดังนั้นผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มประชากรที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 จึงพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูงถึง 5-8% ซึ่งน้อยว่าผู้ที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2535 ซึ่งพบพียงประมาณ 1.5%
ขั้นตอนตรวจคัดกรองและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ควรเข้ารับการตรวจเลือดเบื้องต้น โดยตรวจ HBsAg เพื่อดูว่า “มีการติดเชื้อ” หรือไม่ และตรวจ anti-HBs เพื่อดูว่า “มีภูมิคุ้มกัน” หรือไม่
- หากพบการติดเชื้อ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมและพิจารณาความจำเป็นในการเริ่มยาต้านไวรัส
- หากไม่พบการติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันแล้ว ซึ่งอาจเป็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในอดีต ก็ไม่จำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนอีก
- หากไม่พบการติดเชื้อ และไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรได้รับฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักสบบี ซึ่งแนะนำให้ฉีด 3 เข็ม
- เข็มที่ 1: เริ่มเมื่อพร้อม
- เข็มที่ 2: ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน
- เข็มที่ 3: ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน
- ตรวจระดับภูมิอีกครั้ง (1–2 เดือนหลังเข็มที่สาม) หากระดับ anti-HBs ≥ 10 IU/ml ถือว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแล้ว
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่ออย่างไร
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- การใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การสัก การเจาะหู และการฝังเข็มที่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี
- แม่สู่ลูกระหว่างคลอด โดยทารกที่คลอดจากแม่ที่เป็นมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อจากมารดา หากไม่ได้รับการป้องกันอย่างถูกวิธี
- การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์โลหิต ซึ่งปัจจุบันโอกาสเกิดน้อยมาก เนื่องจากธนาคารเลือดมีแนวทางตรวจคัดกรองที่เข้มงวด
- การสัมผัสเลือด/สารคัดหลั่งเข้าสู่แผล ดังนั้นผู้ที่มีการติดเชื้อจึงต้องระมัดระวังในใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น แต่เชื้อไวรัสตับอักเสบบีไม่ติดต่อผ่านทางน้ำลาย (หากไม่มีแผลในปาก) การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำร่วมกัน การไอ/จาม หรือการสัมผัสร่างกายทั่วไป